เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 ผมมีโอกาสได้เข้าร่มฟังสัมมนาวิชาการ เรื่อง แนวทางการศึกษาไทยเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง "สู่ประชาคมอาเซียน" โดยผู้บรรยายก็คือ ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของไทยที่เคยร่วมงานกับองค์การนาซ่า องค์กรใหญ่ระดับโลก และเป็นผู้อำนวยการ เจ้าของโรงเรียนสัตยาไส จังหวัดลพบุรี
ที่มาของการเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้
ที่มาของการที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่มสัมมนากับ ดร.อาจอง ในครั้งนี้จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ว่าได้ พอดีก่อนวันงานประมาณ 3 วัน แฟนผมเค้าไปเจอการสัมมนาครั้งนี้ใน Facebook สัมมนาฟรี แล้วเค้าก็มาบอกผม ซึ่งความจริงแล้วผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเรียนอะไรมาทางด้านที่เกี่ยวกับการสัมมนาเรื่องการศึกษาไทยครั้งนี้หรอก แต่ผมสนใจในตัวของอาจารย์ ดร.อาจอง เท่านั้น ด้วยความที่ชื่นชอบในความเก่งและความคิดของท่านอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจไม่ยากที่จะเข้าร่วมสัมมนา
จากนั้นผมก็เลยโทรไปเพื่อขอสำรองที่นั่ง ก็มีเสียงหญิงสารรับสาย ผมก็บอกไปว่าผมต้องการเข้าร่วมสัมมนากับท่านดร.อาจอง เค้าก็ขอชื่อ นามสกุลไว้ เวลาไปที่หน้างานก็ให้แจ้งชื่อแล้วเข้าสัมมนาได้เลย
เดินทางไป ม.เกษตร(บางเขน) มุ่งสู่งานสัมมนา
ผมอยู่แถววงศ์สว่างก็นั่งรถเมล์สาย 543ก. มันผ่านหน้า ม.เกษตรพอดี เพราะมันไปสุดสายที่อู่บางเขน ไปถึงหน้ามอก็ต่อวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่ตึกคณะศึกษาศาสตร์อาคาร 1 จากหน้าม.เกษตรตรงแยกเกษตรนวมินทร์ ไปถึงตึกศึกษาศาสตร์ก็ไกลพอสมควร นั่งไปประมาณ 5 นาทีได้
พอถึงตึกผมก็รีบวิ่งไปที่ชั้น 4 ทันทีเพราะมันใกล้เวลาสัมมนาแล้ว ไปถึงหน้าห้องก็มีน้องๆนักศึกษานั่งต้อนรับอยู่หน้าห้อง ถามผมว่าเป็นนิสิต ป.โทร หรือคะ ผมก็บอกว่าไม่ใช่ ผมเป็นบุคคลภายนอก น้องเค้าก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อ ผมก็นั่งลงเซ็นต์ชื่อเข้างาน โดยผมสังเกตใบเซ็นต์ชื่อนั้น มีผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เป็นบุคคลภายนอกไม่น่าจะเกิน 10 คน ก็รู้สึกแปลกใจเล็กๆ
เซ็นต์ชื่อเสร็จผมก็เดินเข้าไปในห้องสัมมนา โดยมีน้องนักศึกษาหน้าตาน่ารักพาไป และบอกผมว่าให้นั่งที่แถวกลางๆ ผมก็เข้าไปนั่งตามที่น้องแนะนำ พอนั่งลงผมก็สังเกตไปรอบห้อง เป็นห้องประชุมขนาดเล็ก เล็กกว่าที่คิดไว้มาก เพราะผมคิดว่างานสัมมนาของ ดร.อาจอง บุคคลระดับโลก ต้องเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ คนมาเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เรื่องจริงนั้นตรงกันข้ามเลย เป็นการประชุมสัมนาการศึกษาขนาดเล็ก คนเข้าร่วมไม่น่าจะเกิน 150 คน และส่วนใหญ่เป็นนิสิตที่อยู่ในคณะศึกษาศาตร์มากกว่า (คณะอื่นก็ไม่ค่อยมี)
ระหว่างรอก่อนดร.อาจองจะเข้ามา
ระหว่างที่นั่งรออาจารย์ดร.อาจอง อยู่นั้น ผมก็นั่งมองไปรอบๆ สังเกตคนที่เข้าร่วมงาน สังเกตการทำงานของน้องๆนักศึกษา ที่หน้าห้องจะมีน้องนักศึกษาคนหนึ่งเป็นพิธีกร ก็จะคอยพูดคร่าวๆเกี่ยวกับการสัมมนาครั้งนี้ ทำให้รู้สึกไม่น่าเบื่อดี
ท่านดร.อาจอง เดินเข้ามาในห้องแล้ว
ผมนั่งรออยู่ประมาณ 15 นาที ท่านดร.อาจองก็เดินเข้ามา เป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริง รู้สึกดีใจมากๆ ท่านดูเหมือนในรูปตามหนังสือที่เราเห็นวางขายอยู่เลยนะ หน้าตาท่านดูใจดีมากๆ ก่อนเริ่มงานก็มีผู้ใหญ่ของทางม.เกษตร มากล่าวเปิดงาน พูดจบการสัมมนาก็เริ่มขึ้น
เริ่มการสัมมนาแนวทางการศึกษาไทยเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง "สู่ประชาคมอาเซียน" AEC
เริ่มแรกท่านดร.อาจอง ก็พูดถึงเรื่องการประชุมเกี่ยวกับการศึกษาของไทย โดยท่านได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในกรรมการของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย ถ้าจำไม่ผิดจะมีอยู่ประมาณ 30 คน ท่านดร.อาจองก็บอกว่าได้เสนอเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาของไทยต่อที่ประชุมในมุมมองของท่าน แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองอะไรจากข้อเสนอนี้ ซึงท่านก็ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเสนอความคิดเห็นอะไรไปบ้าง เพียงแต่พูดรวมๆเท่านั้น
ไปอยู่ดาวอังคารกันเถอะ
พูดเรื่องการศึกษาไปไม่นาน ท่านดร.อาจองก็พูดถึงเรื่องพลังงานที่เราใช้กันอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือก็าซธรรมชาติ ท่านบอกว่าน้ำมันจะหมดภายใน 35 ปี ก๊าซธรรมชาติจะหมดภายใน 20 ปี แต่ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ เพราะว่าเดี๋ยวมนุษย์เราก็จะย้ายไปอยู่ดาวอังคารกัน "ดาวอังคาร" ฟังแล้วผมก็ตกใจ นี่เป็นเรื่องจริงหรือนี่ เรื่องในหนังที่เราดูกันกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงในอีกไม่ช้า
ท่านดร.อาจองบอกว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังสำรวจถึงความเป็นไปได้ที่จะย้ายไปอยู่นอกโลกกัน เพราะทรัพยากรของโลกกำลังจะหมดไปจนมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอาจจะอยู่ไม่ได้ และดาวที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือดาวอังคาร เพราะมีสภาพที่ใกล้เคียงโลกมากที่สุด บนดาวอังคารมีน้ำเยอะ อุณหภูมิประมาณ -31 องศาเซลเซียส ซึ่งมนุษย์สามารถอยู่ได้ ท่านดร.อาจองบอกว่าเคยเดินทางไปประเทศมอสโก หนาวกว่านี้อีก ติดลบ 35 องศาเซลเซียส เดินไปนอกโรงแรมได้ 5 นาที หูแข็งไปหมด ต้องรีบเดินเข้ามาในโรงแรม
เราสามารถเป็นศูนย์กลางของ AEC ได้
อีกความรู้ที่น่าสนใจของท่านดร.อาจองที่ตอนแรกผมฟังแล้วยังไม่อยากจะเชื่อ เรื่องที่ว่าก็คือ "ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของ AEC ได้" เพราะก่อนที่จะมาฟังสัมมนานี้ข่าวเพิ่งออกมาว่าการศึกษาไทยอยู่อันดับท้ายๆของอาเซียน ซึ่งท่านดร.อาจองได้ให้เหตุในเรื่องนี้ตามหลักของภูมิศาสตร์ว่า
- ประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศที่ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติที่รุนแรง เนื่องจากประเทศไทยอยู่บนแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ไกลจากรอยแยกของเปลือกโลกมากกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน ทำให้โอกาสการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุรุนแรง ซึนามิ มีน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ไม่ว่าจะเป็นอินโดนิเซีย (แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดบ่อย) ฟิลิปปินส์ (แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่นบ่อย) พม่า(แผ่นดินไหวรุนแรงบ่อย) เวียดนาม(พายุบ่อย)
- ประเทศไทยมีองค์กรระดับชาติอยู่เยอะ ในประเทศไทยมีองค์กรระดับชาติที่สามารถช่วยคุ้มครองดูและคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้ องค์กรที่ท่านดร.อาจอง ยกตัวอย่างขึ้นมา เช่น ยูนิเซฟ
นอกจากเรื่องได้เปรียบที่ท่านดร.อาจองได้กล่าวไว้ ก็มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงของประเทศไทยนั่นก็คือ "ปัญหาน้ำท่วม" ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และหนักสุดของประเทศไทย เพราะท่วมทุกปี ยังหาทางแก้ไขกันไม่ได้ ท่านดร.อาจองได้ให้ความรู้ต่อว่า ตอนนี้ในกรุงเทพ เขตบางขุนเทียนนั้นถูกน้ำทะเลกัดเซาะเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นระยทาง 1 กิโลเมตรแล้ว และถ้ายังไม่แก้ปัญหานี้กรุงเทพในอีก 20 ปีข้างหน้าก็จะจมน้ำ ม.เกษตรที่นั่งสัมมนาอยู่นี้ก็จะหายไปด้วยเหมือนกัน ต้องย้ายไปเรียนกันที่อื่น ท่านดร.อาจอง ได้ให้ความเห็นในการแก้ปัญหานี้ว่าเราต้องสร้างเขื่อนเพื่อเก็บน้ำ กันน้ำท่วมเหมือนกับที่ประเทศฮอลแลนด์ทำ แต่ไม่ได้บอกว่าให้สร้างเขื่อนที่ไหนนะครับ
การศึกษาไทยควรเน้นสอนไปในทิศทางไหน
ท่านดร.อาจองได้พูดถึงหัวใจของการศึกษาที่ดีว่า ต้องสอนให้เด็กรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร สอนให้รู้จักศักยภาพของตัวเอง สอนให้รู้ว่าทุกอย่างเราสามารถทำได้ ด้วยการเริ่มตั้งคำถามว่า "เราคือใคร"
ตัวอย่างที่ท่านดร.อาจองยกขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่าเรื่องที่เราคิด เราสามารถทำได้
ในระหว่างที่พูดเรื่องนี้อยู่นั้น ท่านดร.อาจอง ก็ได้บอกให้คนในห้อง เสนอความคิดเห็นว่า มีเรื่องอะไรบนโลกนี้ หรือที่เราคิดว่าไม่สามารถทำได้ แล้วท่านดร.อาจองจะบอกว่าเรื่องที่เราบอกว่าทำไม่ได้ มันสามารถทำได้
ผมก็นั่งคิดในใจนึกไปถึงเรื่องการหายตัว เป็นเรื่องที่มีแต่ในการ์ตูนที่อ่าน หรือในหนังที่ทำได้ เรื่องจริงคงทำไม่ได้แน่ กะว่าถ้าไม่มีใครถามจะยกมือถาม สักพักมีน้องนักศึกษาคนหนึ่ง ยกมือแล้วเสนอความคิดเห็นว่า เรื่องหยุดนักการเมืองไม่ให้คอรัปชั่น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ ท่านดร.อาจองก็ตอบการแก้ปัญหาว่าเรื่องนี้แก้ไขได้ เมื่อถึงจุดหนึ่งปัญหานี้ก็จะหมดไปเอง เพราะทุกกคนก็จะพยายามช่วยกันแก้ไปหาได้เอง ไม่ต้องเป็นกังวล และบอกว่าเรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่ยังเป็นไปไม่ได้
เมื่อตอบเสร็จท่านดร.อาจองก็ขอให้คนอื่นๆช่วยเสนอความคิดเห็นต่อ ก็มีน้องอีกคนยกมือขึ้นเสนอความคิดเห็นเรื่อง "การหายตัว" เอ่อตรงใจผมเลย อยากรู้อยู่พอดี ท่านดร.อาจองก็ได้บอกวิธีการหายตัวตามหลักวิทยาศสาตร์ไว้ว่า การที่ตามนุษย์จะมองเห็นอะไรหรือไม่เห็นอะไรนั้น เกิดจากการที่ตาของเรารับความถี่ได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตามนุษย์มีการรับความถี่ที่จำกัด คือถ้าสูงกว่าหรือต่ำกว่าที่รับได้ก็จะมองไม่เห็น ดังนั้นการหายตัวก็แค่ปรับความถี่ของคนให้อยู่ในช่วงที่ตามนุษย์มองไม่เห็น แค่นี้ก็เหมือนกับการหายตัวไปแล้ว
เช่นเดียวกับการเดินทะลุกำแพง เพียงแค่เราปรับความถี่ของเราให้น้อยกว่าความถี่ของกำแพง เราก็สามารถเดินผ่านทะลุกำแพงได้แล้ว แต่ที่อยากสำหรับเรื่องนี้คือ เราจะสามารถปรับความถี่ของมนุษย์ได้อย่างไร ซึ่งท่านดร.อาจองคิดว่ามนุษย์เราสามารถทำได้
ทำยังไงเราถึงจะมีความสุข
ท่านดร.อาจองได้ขึ้นสไลด์ขึ้นมาประมาณรูปนี้
จากนั้นท่านดร.อาจองก็ถามคนในห้องว่า คนเราจะมีความสุขได้อย่างไร มีน้องคนหนึ่งยกมือแล้วตอบว่า ให้ตัดคำว่าต้องการออก แต่เหมือนจะยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง เพราะคำตอบที่ท่านดร.อาจองเฉลยก็คือ ให้ตัดคำว่าฉัน และต้องการออก ก็จะเหลือแค่คำว่า "ความสุข" โดยอธิบายต่อว่า
- คำว่า "ฉัน" นั้น ทำให้เรายึดมั่่น ถือมั่นในตัวเองมากเกินไป เวลาที่ใครมาด่ามาว่าเราเราก็โกรธ เพราเราถือตัวเองอยู่ ใครมาด่าเราไม่ได้มันไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเราตัดฉันก็คือตัวเราออก เวลาใครมาด่าเราเราก็ไม่โกรธ เพราะไม่มีฉันอยู่ ด่าไปก็ไม่โดนฉัน ไม่รู้ว่าด่าใคร เพราะฉะนั้นคนด่าด่าไปก็เท่านั้น ไม่มีผลอะไร
- คำว่า "ต้องการ" ความต้องการมักมาคู่กับการผิดหวัง ความเสียใจ ความเสียหน้า หากเราต้องการอะไรแล้วได้มาเราอาจจะมีความสุขได้ แต่ก็ไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน เพราะเราก็จะมีความต้องการอื่นๆอีกมากมาย เมื่อมีมากโอกาสการผิดหวังก็มีมากขึ้น ยังไงซะเราก็ต้องผิดหวังเข้าสักวัน เมื่อตัดคำว่าต้องการออก ก็เท่ากับว่าเราตัดความผิดหวังในชีวิตออก เพราะมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อคนเราไม่ผิดหวังสุดท้ายแล้ว ความสุขก็สามารถเกิดขึ้นกับตัวเราได้อย่างง่ายดาย
เหลือแค่ความสุขที่อยู่กับตัวเรา
เมื่อตัดคำว่าฉันและต้องการออก สุดท้ายเหลือแต่คำว่า "ความสุข" นี่ไงครับวิธีที่ทำให้มีความสุข จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว เพียงแต่ว่าเราไปหาความสุขกันผิดที่ ไปหาความสุขจากข้างนอก ที่ที่มีแสงไฟวูบวาบ ที่ที่ทำให้เรารู้สึกสนุก ไปเสียเงินกับสิ่งของฟุ่มเฟือย ซึ่งเราคิดว่าพอเราได้มาก็จะทำให้มีความสุข แต่เราเคยรู้มั๊ยว่าความสุขที่แท้จริงมันอยู่ข้างในตัวเรา มันเกิดขึ้นที่ใจของเรานั่นเอง ไม่จำเป็นต้องหาอะไรจากนอกกายเพื่อให้มีความสุข ขอแค่ใจเราดี เราก็มีความสุขได้แล้ว
แผนภาพแสดงจิตสำนึกการเรียนรู้ที่ดี
นี่ไม่ใช่แผนภาพต้นแบบที่ท่านดร.อาจองวาดไว้นะครับ อันนี้ผมวาดเองเลยดูขี้เหร่ไปหน่อย แต่เนื้อหาสาระประมาณนี้ครับ คือท่านดร.อาจองอธิบายแผนภาพการเรียนรู้นี้ว่า การเรียนรู้ของเราเริ่มมาจากการรับข้อมูลมาจากสภาพแวดล้อม ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆของเรา จากนั้นประสาทสัมผัสก็จะส่งข้อมูลไปยังจิตใต้สำนึก และส่งต่อไปตีความ จากการตีความของเราก็จะถูกส่งต่อไปที่จิตใต้สำนึกการเรียนรู้ จิตใต้สำนึกการเรียนรู้ประมวลผลแล้วก็ถูกส่งกลับไปที่จิตใต้สำนึกเก็บข้อมูลเอาไว้ แต่ถ้าเรารู้จักฝึกยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น คิดดี พูดดี ฝังแต่ความคิดดีๆลงไป จิตของเราก็จะกลายเป็นจิตเหนือสำนึก เป็นจิตที่ดีที่ทุกคนควรไปให้ถึง ถ้าเราไปถึงชีวิตลของเราก็จะมีความสุข
ท่านดร.อาจองยังบอกอีกว่าเราไม่ควรไปเรียนรู้เหมือนฝรั่งเค้า ท่านบอกว่าการเรียนรู้หรือการศึกษาของฝรั่งเน้นไปที่วิชาความรู้และการแข่งขันมาจนเกินไป ทำให้คนเกิดความเครียดและไม่มีความสุข ซึ่งจริงๆเรื่องนี้เป็นปัญหาของเค้า ท่านดร.อาจองยังบอกอีกว่ามหาวิทยาลัย Howard ยังเคยติดต่อท่านอาจารย์ให้ไปสอนที่นั่นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่า "เด็กเก่งจริง แต่ไม่มีความสุข" เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องไปทำตามฝรั่งเค้า เพราะตอนนี้เค้ากำลังจะทำตามเราอยู่
สรุปการสัมมนากับท่านดร.อาจองในครั้งนี้
เมื่อการอบรมสัมมนาของท่านดร.อาจองจบลง ก็ถึงเวลาที่ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาถามคำถามกับท่านดร.อาจอง ก็มีนักศึกษาและบุคคลภายนอกร่วมถามคำถามมากมาย มีอยู่หนึ่งคำถามที่น่าสนใจและอยากเอามาเล่าให้ฟังกัน เค้าถามว่า อยากรู้ว่าตอนที่ท่านดร.อาจองคิดวิธีทำขาตั้งสำหรับการลงจอดของยานไวกิ้ง 2 ตอนนั้น ตอนที่คิดออกท่านดร.อาจองมีความคิดอะไรอยู่ในหัวตอนนั้น ประมาณว่าตอนนั้นทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่
ท่านอาจารย์ดร.อาจอง ก็ตอบกลับมาว่า ตอนนั้นไปนั่งอยู่บนเนินเขา 4 วัน 5 คืน นั่งนิ่งๆไม่ได้คิดอะไร เหมือนกับขึ้นไปนั่งฝึกสติสมาธิ แล้วอยู่ดีๆก็คิดออก ความคิดก็แว๊บเข้ามาในหัวว่าต้องทำยังถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ ทั้งๆที่ตอนทำสมาธิอยู่นั้นก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย
การได้มีโอกาสได้เข้าร่วมการสัมมนากับท่านดร.อาจองในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของผมที่ปลื้มปิติเอามากๆ โอกาสแบบนี้หาได้ยากจริงๆ แนวคิดของท่านั้นยิ่งใหญ่ การสอนของท่านนั้นน่าจะเป็นต้นแบบของการศึกษาไทยได้เป็นอย่างดี หากประเทศไทยลองใช้หลักสูตรการศึกษาตามแนวทางโรงเรียนของท่านดู ผมว่าเด็กไทยจะเก่งและเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ สามารถสร้างคนดีให้กับโลกใบนี้ได้อีกเยอะ นี่ก็เป็นข้อมูลดีดีจากที่ท่านดร.อาจองได้พูดไว้ รวมไปถึงความคิดเห็นส่วนตัวที่ผมได้สอดแทรกลงไปบ้าง เขียนมาก็เยอะแล้วคงต้องจบสักที(เขียนมา 2 วันแล้ว) หากมีข้อมูลส่วนไหนผิดพลาดไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ(จดมาได้แบบนี้)
1 ความคิดเห็น:
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ นะครับ
แสดงความคิดเห็น